ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยปี 2568: สัญญาณฟื้นตัวและโอกาสใหม่

หลังจากเผชิญความผันผวนจากตลาดโลกในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2568 ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวคือมาตรการภาครัฐ โดยกระทรวงการคลังประกาศ ยกเว้นภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Capital Gains Tax) สำหรับผู้ลงทุนที่จดทะเบียนในประเทศ เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31ธันวาคม 2572 เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผลักดันไทยสู่การเป็น “Digital Asset Hub” ของภูมิภาค
นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ยังปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อรองรับการออกโทเคนดิจิทัลและการระดมทุนรูปแบบใหม่ เช่น Investment Token และ Utility Token พร้อมเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้ลงทุนและการทดสอบความเหมาะสม (Suitability Test) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย
แนวโน้มปี 2569: จุดเปลี่ยนสำคัญ
ปี 2569 จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อทิศทาง ทั้งเทคโนโลยี กฎเกณฑ์ และพฤติกรรมของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
Bitcoin และ Ethereum: สัญญาณบวกจากตลาดโลก
Bitcoin และ Ethereum ยังคงเป็นผู้นำตลาด โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการลงทุนในกองทุน Spot ETF ทั่วโลก ข้อมูลจาก ก.ล.ต. ระบุว่าในเดือนสิงหาคม Bitcoin มีราคาเฉลี่ย 3.499 ล้านบาทต่อ BTC ลดลงราว 7.72% จากเดือนกรกฎาคม แต่หลายสำนักคาดว่าราคาจะพุ่งแตะ 3.9–4.77 ล้านบาทในปี 2569 ส่วน Ethereum ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับ Smart Contract และ DApps มีราคาเฉลี่ย 142,000 บาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากเดือนก่อนหน้า และคาดว่าจะสูงสุดถึง 285,000 บาทในปีหน้า
ที่น่าจับตาคือ XRP ซึ่งสร้างความประหลาดใจด้วยการเติบโตสูงถึง 390% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีราคาเฉลี่ย 89.75 บาทในเดือนสิงหาคม 2568
(อ้างอิง Thai Weekly Report)
ความท้าทายจากปัจจัยภายนอก
แม้ตลาดจะฟื้นตัว แต่ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ส่งผลต่อสภาพคล่องโลก รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ นักลงทุนจึงต้องติดตามดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์อย่างใกล้ชิด
นโยบายไทย: เปิดรับอย่างระมัดระวัง
ในช่วงปี 2567–2568 ก.ล.ต. มีแนวโน้มเปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น เช่น การอนุมัติ Bitcoin ETF เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและโปร่งใส แต่การกำกับดูแลยังเน้นความระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันฟอกเงินและคุ้มครองผู้ลงทุน กฎหมายใหม่ที่ประกาศใช้เน้นหลัก “Same Activity, Same Risk, Same Regulatory Outcome” ครอบคลุมทั้ง CeFi และ DeFi พร้อมเปิดทางให้มีการออกโทเคนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน แต่ก็เพิ่มภาระการปฏิบัติตามกฎสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก
แนวโน้มการลงทุน: จากเก็งกำไรสู่ระยะยาว
นักลงทุนไทยเริ่มเปลี่ยนจากการเก็งกำไรระยะสั้นไปสู่การลงทุนระยะยาว โดยใช้ข้อมูลเชิงลึก เช่น ดัชนี MVRV, HODL Wave และ Realized Price เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริง การเข้ามาของแพลตฟอร์ม Wealth-Tech และบริการที่ปรึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก็ช่วยให้การวางแผนการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้น ในปี 2569 หรือ 2026 การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าประมาณ 937 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้ใช้งานมากกว่า 8.4 ล้านคน หน่วยงานกำกับดูแลของไทยมีแนวโน้มที่จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมพยายามหาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัยของตลาด ในระดับโลก เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน (Tokenization), NFT และ DeFi กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะในแง่ของการนำไปใช้จริง แม้ว่านักลงทุนรายย่อยยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาด แต่ความสนใจจากนักลงทุนสถาบันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มระดับโลกและปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เช่น นโยบายการเงินของสหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลต่อภูมิทัศน์ของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
⚠️ คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล มีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
KuCoin Thailand
(ดำเนินงานโดยบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด)
Email: happy@kucoin.th | Call Center: 02-080-6060
- Facebook: facebook.com/KuCoinThailand
- Instagram: Kucointhailand
- LINE Official Account: @KuCoinThailand
- X (formerly Twitter): x.com/KuCoinThailand
- Tiktok: @KuCoinThailand
- Telegram: @KuCoinTH_Official
- Facebook Group: Kucoin Thailand Official Community
📲 ดาวน์โหลดแอป KuCoin Thailand ได้แล้วตอนนี้!
👉 คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลด พร้อมให้บริการทั้งบน App Store และ Play Store ประเทศไทย
