Polygon คืออะไร? การทำงานของ Polygon 2.0 ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้ Ethereum
Polygon คืออะไร? การทำงานของ Polygon 2.0 ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้ Ethereum
Polygon คือเครือข่ายบล็อกเชนที่ช่วยให้ Ethereum ทำงานเร็วขึ้น ค่าธรรมเนียมถูกลง และอาจเป็นโอกาสน่าลงทุนในอนาคต
Polygon คืออะไร?

Polygon คือเครือข่ายบล็อกเชนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวช่วยให้ Ethereum ทำงานได้เร็วขึ้นและมีค่าธรรมเนียมถูกลง
เพราะ Ethereum เป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมมาก ดังนั้นการทำธุรกรรมบน Ethereum อาจช้าและมีค่าใช้จ่ายสูงในบางครั้ง Polygon จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยโดยใช้เทคโนโลยี Layer 2 ทำให้ผู้ใช้งานสามารถโอนเงิน ซื้อขาย NFT หรือใช้งานแอปต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่าย
Polygon เกี่ยวข้องกับ Ethereum อย่างใกล้ชิด ทำให้แอปหรือโปรเจกต์ที่สร้างบน Ethereum สามารถย้ายมาใช้งานบน Polygon ได้อย่างง่ายดายโดยยังคงมาตรฐานความปลอดภัยของ Ethereum แต่เพิ่มความเร็วและลดค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งานทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ทำให้ Polygon เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการสร้างแอป DeFi, NFT หรือ DApps ต่างๆ
จุดกำเนิดและทีมผู้พัฒนา Polygon
Polygon เริ่มต้นจากโครงการที่ชื่อ Matic Network ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้งาน Ethereum ต้องเจออยู่บ่อยครั้ง นั่นคือการทำธุรกรรมช้าและค่าธรรมเนียมสูง ทีมผู้พัฒนาของ Polygon ประกอบด้วย Jaynti Kanani, Sandeep Nailwal และ Anurag Arjun ซึ่งแต่ละคนมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน การเงินดิจิทัล และเทคโนโลยีการกระจายศูนย์ ร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มที่ทำให้ Ethereum สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนความปลอดภัยหรือความน่าเชื่อถือของเครือข่าย
ในช่วงแรก Polygon ใช้ชื่อว่า Matic Network และมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Layer 2 scaling สำหรับ Ethereum ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ธุรกรรมเร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมถูกลง ทำให้ผู้พัฒนาสามารถสร้าง DApps ที่ใช้งานได้จริงและไม่แพงสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
แต่เมื่อเครือข่ายเติบโตและความต้องการในการเชื่อมต่อกับบล็อกเชนอื่นๆ เพิ่มขึ้น ทีมงานจึงได้พัฒนา Matic Network ให้กลายเป็น Polygon Network
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของชื่อ แต่เป็นการต่อยอดทางเทคโนโลยี Polygon ในการพัฒนาไปสู่ Multi-Chain Ecosystem ที่ไม่เพียงแต่รองรับ Layer 2 สำหรับ Ethereum เท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับบล็อกเชนอื่นๆ ได้อย่างราบรื่น
นักพัฒนาและผู้ใช้งานจึงสามารถสร้างแอปพลิเคชันหลากหลายประเภท ทั้ง DeFi, NFT หรือ DApps อื่นๆ ได้บนเครือข่ายเดียวโดยยังคงได้รับความเร็วในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
Polygon ทำงานอย่างไร
Polygon ทำงานเป็น Layer 2 Scaling Solution สำหรับ Ethereum คำว่า Layer 2 Scaling หมายถึง ชั้นเพิ่มเติมที่เสริมให้ Ethereum ประมวลผลธุรกรรมได้เร็วขึ้นและค่าใช้จ่ายต่ำลง แทนที่จะทำทุกอย่างบน Ethereum โดยตรง Polygon จะจัดการธุรกรรมบางส่วนบนเครือข่ายของตัวเองแล้วส่งผลลัพธ์กลับไปยัง Ethereum
Polygon ทำงานโดยใช้กลไก Proof-of-Stake (PoS) ร่วมกับ Plasma Framework โดย PoS คือระบบที่ผู้ถือเหรียญ MATIC สามารถ Stake เหรียญ เพื่อช่วยตรวจสอบธุรกรรมและรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย ทำให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและรับรางวัลได้
ส่วน Plasma Framework เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ Polygon สามารถสร้าง Polygon chain หรือระบบย่อยสำหรับจัดการธุรกรรมจำนวนมากได้โดยไม่ทำให้ Ethereum ช้าลง โดยมีการทำงานที่เชื่อมโยงกันแบบแผนภาพนี้:
ธุรกรรมเริ่มจากผู้ใช้ → ไปยัง Polygon Chain → ส่งผลลัพธ์กลับ Ethereum
เทคโนโลยีหลักของ Polygon

ขอบคุณภาพจาก polygon.technology
Polygon ใช้เทคโนโลยีหลายอย่างร่วมกันเพื่อทำให้ Ethereum ทำงานได้เร็วขึ้นและมีค่าใช้จ่ายต่ำ เครื่องมือเหล่านี้คือเทคโนโลยีหลักที่ช่วยให้ Polygon ทำงานได้อย่างราบรื่น
-
Polygon SDK: เป็นชุดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา ช่วยให้สร้างแอปและ chain ใหม่บน Polygon ได้ง่าย โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ นักพัฒนาสามารถออกแบบ Layer 2 หรือ Multi-Chain Ecosystem ของตัวเองได้ตามต้องการ
-
Plasma Chain: เป็นเทคโนโลยีที่สร้าง chain ย่อย (child chain) สำหรับประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากอย่างรวดเร็วโดยยังคงความปลอดภัยจาก Ethereum
-
zk-Rollups: เป็นวิธีการรวมธุรกรรมหลายรายการเข้าด้วยกันใน rollup เดียว จากนั้นส่งผลลัพธ์กลับ Ethereum ทำให้ระบบประมวลผลเร็วขึ้นและใช้พื้นที่บนบล็อกเชนน้อยลง
-
Validium: คล้ายกับ zk-Rollups แต่ข้อมูลจะถูกเก็บนอก Ethereum ช่วยให้ประมวลผลได้เร็วและรองรับธุรกรรมจำนวนมากเหมาะสำหรับแอปที่ต้องการความเร็วสูง
-
Sidechain และ Bridge: เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเชื่อมต่อ Polygon กับ Ethereum และบล็อกเชนอื่นๆ โดย Sidechain ทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรม ส่วน Bridge ทำหน้าที่ส่งข้อมูลและสินทรัพย์ข้ามเครือข่าย
เหรียญ MATIC คืออะไร และมีหน้าที่อะไรในระบบ
MATIC คือเหรียญดิจิทัลหลักของ Polygon ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ขับเคลื่อนระบบนิเวศของเครือข่ายทั้งหมด และทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างภายในระบบโดยแบ่งเป็นหน้าที่สำคัญหลักๆ ดังนี้:
-
ใช้ชำระค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Gas Fee)
เมื่อมีการทำธุรกรรม โอนเงิน ซื้อขาย NFT หรือใช้งานแอปต่างๆ บน Polygon การใช้ MATIC ทำให้ธุรกรรมรวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการใช้ Ethereum โดยตรง
-
ใช้สำหรับ Staking และ Governance
ผู้ถือเหรียญสามารถ Stake MATIC เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายและรับรางวัลเป็นเหรียญ MATIC เพิ่มเติม
ในด้าน Governance ผู้ถือเหรียญสามารถร่วมโหวตตัดสินใจเรื่องสำคัญในเครือข่าย เช่น การปรับปรุงเครือข่ายหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ทำให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการพัฒนา Polygon อย่างแท้จริง
Supply และ Tokenomics
ปัจจุบัน MATIC มีจำนวนเหรียญจำกัด ช่วยในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อของเหรียญ แต่ยังมีการปล่อยเหรียญใหม่บางส่วนตามแผนพัฒนาเครือข่าย ทำให้เหรียญ MATIC สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงการใช้งานและการลงทุนในระยะยาว
-
อุปทานสูงสุด (Max Supply): 10,000,000,000 MATIC
-
อุปทานหมุนเวียน (Circulating Supply): ~4,877,830,774 MATIC
การจัดสรรเหรียญ MATIC

ขอบคุณภาพจาก coinmarketcap
เหรียญ MATIC ถูกแจกจ่ายเข้าสู่ระบบอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของเครือข่าย และมีการ Burn เหรียญ MATIC บางส่วนตามกลไก EIP-1559 คล้ายกับ Ethereum เพื่อควบคุมจำนวนเหรียญในระบบให้สมดุล
เมื่อมีธุรกรรมมาก เหรียญที่ถูกเผาทำลายจะมากขึ้นช่วยให้เหรียญมีความหายากและมีมูลค่าสูงขึ้นในระยะยาว
เปรียบเทียบ Polygon กับเครือข่ายอื่น
แม้ว่า Polygon จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเสริมศักยภาพของ Ethereum แต่ในโลกของบล็อกเชน ยังมีเครือข่ายอื่นๆ ที่มีเป้าหมายคล้ายกัน เช่น Ethereum, BNB Chain และ Avalanche ซึ่งแต่ละเครือข่ายต่างก็มีจุดเด่น จุดด้อย และแนวทางการทำงานที่แตกต่างกันออกไป
-
Ethereum: หนึ่งในเครือข่ายบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกคริปโต มีระบบ Smart Contract ที่แข็งแกร่งและมีชุมชนนักพัฒนามากที่สุด แต่ข้อจำกัดของ Ethereum คือความเร็วในการทำธุรกรรมต่ำและค่าธรรมเนียมสูง
-
Polygon: ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของ Ethereum โดยเฉพาะ ทำหน้าที่เป็น Layer 2 ที่เชื่อมกับ Ethereum เพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมเร็วขึ้นและมีค่าใช้จ่ายถูกลง ขณะเดียวกันยังมีความปลอดภัยมาตรฐาน Ethereum
-
BNB Chain: เครือข่ายที่พัฒนาโดย Binance จุดเด่นคือค่าธรรมเนียมต่ำมากและทำธุรกรรมได้เร็ว เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไป แต่มีการกระจุกตัวของการควบคุมสูงกว่า เพราะมีจำนวนผู้ตรวจสอบธุรกรรม (validators) น้อย
-
Avalanche: เครือข่ายที่เน้นความเร็วสูงและรองรับการสร้างบล็อกเชนย่อย (Subnets) เพื่อให้เหมาะกับแอปหลากหลายรูปแบบ และสามารถประมวลผลธุรกรรมจำนวนมาก ต่อวินาทีแต่มีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า Polygon เล็กน้อย
ตารางเปรียบเทียบ: Polygon vs Ethereum vs BNB Chain vs Avalanche
|
คุณสมบัติหลัก |
Polygon |
Ethereum (ETH) |
BNB Chain (BNB) |
Avalanche (AVAX) |
|
ประเภทเครือข่าย |
Layer 2 / Sidechain ของ Ethereum |
Layer 1 Blockchain |
Layer 1 Blockchain |
Layer 1 Blockchain |
|
กลไกยืนยัน (Consensus) |
Proof-of-Stake (PoS) |
Proof-of-Stake (PoS) |
Proof-of-Staked Authority (PoSA) |
Avalanche Consensus |
|
ความเร็วในการทำ |
~7,000 TPS |
~30 TPS |
~300 TPS |
~4,500 TPS |
|
ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Gas Fee) |
ต่ำมาก (น้อยกว่า $0.01) |
สูง (บางครั้งเกิน $5) |
ต่ำ (~$0.05) |
ปานกลาง (~$0.1–$0.3) |
|
ความปลอดภัย |
ใช้ความปลอดภัยจาก Ethereum |
สูงมาก |
ปานกลาง (มีศูนย์กลางบางส่วน) |
สูง |
|
ระบบนิเวศ (Ecosystem) |
เติบโตเร็ว, มี DApps และ DeFi มากมาย |
ใหญ่ที่สุดในโลก |
เติบโตเร็ว, โครงการจาก Binance เยอะ |
โฟกัส DeFi และ Subnets |
ในภาพรวม Polygon โดดเด่นเรื่องความเร็วในการประมวลผลธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้ความปลอดภัยจาก Ethereum ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสบการณ์ใช้งานที่รวดเร็วและคุ้มค่า
ส่วน Ethereum ยังคงเป็นเครือข่ายหลักที่มีความน่าเชื่อถือสูงที่สุดในโลกบล็อกเชน แม้จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าเครือข่ายอื่น
ด้าน BNB Chain โดดเด่นในแง่ของความง่ายในการใช้งานและระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนโดย Binance ซึ่งช่วยให้โปรเจกต์ใหม่เติบโตได้เร็ว ส่วน Avalanche มีจุดแข็งด้านความเร็วและโครงสร้างที่ยืดหยุ่น เหมาะกับโครงการ DeFi และแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพสูง
Polygon ใช้ทำอะไรได้บ้าง
Polygon ไม่ได้เป็นเพียงแค่โซลูชันเสริมของ Ethereum แต่ยังเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่รองรับแอปพลิเคชันหลากหลายประเภท ตั้งแต่ DeFi, GameFi ไปจนถึง NFT Marketplace ที่มีผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก
dApp บน Polygon
Polygon เป็นเครือข่ายที่เปิดโอกาสให้แอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApp) สามารถทำงานได้รวดเร็ว มีค่าธรรมเนียมต่ำ และยังคงความปลอดภัยจาก Ethereum จึงกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของโลก DeFi, GameFi และ NFT ในปัจจุบัน

บน Polygon มีแอปพลิเคชันชื่อดังมากมาย เช่น
-
Aave: DeFi ชั้นนำที่ให้ผู้ใช้ฝากและกู้เหรียญได้อย่างปลอดภัย ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าบน Ethereum หลายเท่า
-
QuickSwap: แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหรียญ (DEX) ที่ทำงานเหมือน Uniswap แต่ทำธุรกรรมได้รวดเร็วและคุ้มค่ากว่า
-
OpenSea: ตลาดซื้อขาย NFT ระดับโลกที่รองรับ Polygon เพื่อช่วยให้ศิลปินและนักสะสมสามารถสร้างและซื้อขาย NFT ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพง
นอกจากนี้ ระบบนิเวศของ Polygon ยังเต็มไปด้วยโปรเจกต์แนว DeFi, GameFi และ NFT Marketplace ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เช่น SushiSwap, Curve, Balancer, Pegaxy, Planet IX และ Magic Eden ซึ่งต่างเลือกใช้ Polygon เพราะความเร็วในการประมวลผลสูง และค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากจนเหมาะกับการทำธุรกรรมจำนวนมากในแต่ละวัน
Ecosystem ล่าสุดของ Polygon
Polygon ปัจจุบันพัฒนาเข้าสู่ Polygon 2.0 มุ่งเน้นสร้างระบบนิเวศแบบ Multi-Chain Layer 2 เพื่อให้แต่ละเครือข่ายย่อย (Chain) บน Polygon สามารถโอนข้อมูลและสินทรัพย์ถึงกันได้อย่างไร้รอยต่อ
นอกจากนี้ Polygon ยังมีอีกหลายโปรเจค เช่น
-
Polygon zkEVM: เทคโนโลยี Zero-Knowledge Rollup ที่เชื่อมเข้ากับ Ethereum ได้ 100%
-
Polygon ID: ระบบยืนยันตัวตนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Identity)
-
Polygon CDK (Chain Development Kit): เครื่องมือให้นักพัฒนาสร้างบล็อกเชน Layer 2 ของตัวเองบน Polygon ได้ง่ายขึ้น
อัปเดตล่าสุด: Polygon 2.0 และการเปลี่ยนจาก MATIC เป็น POL
ในปี 2024 Polygon ได้ประกาศการอัปเกรดครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ Polygon 2.0 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเครือข่ายจากระบบ Layer 2 เดิม ให้กลายเป็น Multi-Chain Ecosystem อย่างสมบูรณ์ โดยมีเป้าหมายให้ทุกเครือข่ายย่อย (Chain) ที่สร้างบน Polygon สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่นภายใต้โครงสร้างเดียว
สรุป Polygon 2.0
ขอบคุณภาพจาก polygon.technology
Polygon 2.0 ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างระบบนิเวศของ Layer 2 ที่เชื่อมถึงกันโดยมีเทคโนโลยีสำคัญคือ zkEVM (Zero-Knowledge Ethereum Virtual Machine) ที่ช่วยให้ธุรกรรมมีความปลอดภัยเทียบเท่า Ethereum แต่ประมวลผลได้รวดเร็วและมีค่าธรรมเนียมต่ำมาก
นอกจากนี้ Polygon ยังเปิดตัว Protocol Layer ใหม่ ที่เชื่อมต่อระหว่าง Chain ต่างๆ บนระบบของ Polygon ทำให้แต่ละเครือข่ายสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือสินทรัพย์กันได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง ซึ่งถือเป็นแนวทางสู่ Internet of Value ที่ทำให้การโอนสินทรัพย์ดิจิทัลข้ามเชนกลายเป็นเรื่องง่าย
ความแตกต่างระหว่าง MATIC และ POL
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ Polygon 2.0 คือการเปลี่ยนชื่อและโทเค็นหลักจาก MATIC เป็น POL
-
MATIC เคยเป็นโทเค็นดั้งเดิมของ Polygon ที่ใช้สำหรับชำระค่าธรรมเนียมธุรกรรม (Gas Fee), staking และ governance บนเครือข่ายหลัก
-
ขณะที่ POL ถูกออกแบบให้เป็น Next-generation token ที่สามารถทำงานได้ในหลายเชนพร้อมกัน (multi-chain staking) และรองรับระบบนิเวศทั้งหมดของ Polygon 2.0
พูดง่ายๆ คือ POL คือเวอร์ชันอัปเกรดของ MATIC ที่มีบทบาทมากกว่าเดิม ไม่ได้จำกัดแค่เชนเดียว แต่สามารถใช้รักษาความปลอดภัยให้หลายเครือข่ายในระบบ Polygon ได้พร้อมกัน
ผลกระทบต่อผู้ถือเหรียญ
สำหรับผู้ถือเหรียญ MATIC เดิม ไม่ต้องกังวล เพราะ Polygon ได้ออกแบบกระบวนการอัปเกรดให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้ โดยผู้ถือเหรียญสามารถแลกเปลี่ยน MATIC เป็น POL ได้ในอัตรา 1:1 ผ่านแพลตฟอร์มทางการของ Polygon โดยมีรายละเอียดหลักๆ ดังนี้
-
สิทธิ์ในการ staking และ governance จะถูกโอนต่อไปยัง POL
-
โครงสร้างระบบนิเวศจะเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้มูลค่าของเหรียญมีศักยภาพเติบโตตามการใช้งานของหลายเชนในอนาคต
-
และในระยะยาว POL จะกลายเป็นโทเค็นศูนย์กลางของทั้งเครือข่าย Polygon 2.0 แทนที่ MATIC อย่างสมบูรณ์
Polygon น่าลงทุนไหม (มุมมองปี 2025)
โอกาสเติบโตในตลาด DeFi และ Web3
นักวิเคาระห์หลายสำนักมองว่าการที่ Polygon เปลี่ยนไปสู่ Polygon 2.0 และเปิดใช้งานโซลูชัน zkEVM ทำให้เครือข่ายมีโอกาสเติบโตในเชิงการใช้งานจริงโดยเฉพาะในกลุ่ม DeFi, NFT และแอปที่ต้องการธุรกรรมจำนวนมาก
Oak Research รายงานว่า Polygon มีการปรับ TVL ช่วงปี 2025 ซึ่งเป็นสัญญาณของการใช้งานที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Binance ก็ชี้ว่าการอัปเกรดและการสนับสนุนจากสถาบันต่างๆ ช่วยเพิ่มโอกาสทางการเติบโตของ POL แต่ยังมีการเตือนเรื่องความผันผวนของราคาในระยะสั้น
ปัจจัยบวกและความเสี่ยง
ปัจจัยบวกต่อราคา MATIC ที่นักวิเคราะห์มักพูดถึง ได้แก่
-
การเปลี่ยนจาก MATIC เป็น POL
-
zk-rollup / zkEVM ที่เข้ากันได้กับ Ethereum
-
Ecosystem ของ Polygon ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยเหล่านี้ช่วยเพิ่ม Utility และลดแรงกดดันจากคู่แข่งไปบางส่วน ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่ถูกเตือนบ่อยครั้ง เช่น
-
การแข่งขันจาก Layer 2 อื่นๆ อย่าง Arbitrum, Optimism, Base
-
ความไม่แน่นอนของตลาดคริปโตโดยรวม
-
ความเสี่ยงเชิงเทคนิคและการใช้งานจริง
ซึ่งปัจจัยบวกและความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์จากเว็ปไซต์คริปโตเจ้าดังอย่าง CoinDesk และ CoinMarketCap สรุปแนวโน้มออกมาได้คล้ายกันว่าถึงแม้ Polygon จะมีพื้นฐานเชิงเทคโนโลยีที่ดี แต่ราคายังขึ้นอยู่กับ sentiment และการยอมรับในวงกว้าง
มุมมองจากนักวิเคราะห์
การคาดการณ์จาก Benzinga ระบุว่า POL อาจมีโอกาสเพิ่มมูลค่าในปี 2026 โดยมีช่วงคาดการณ์ราคาอยู่ที่ระหว่าง $0.50 ถึง $0.60 หากโครงการพัฒนาเป็นไปตามแผน แต่ในขณะเดียวกันก็เตือนว่าถ้า Polygon ไม่มีการขยาย Ecosystem ตามแผน ราคาก็มีโอกาสทรุดได้เช่นกัน เพราะตลาดคริปโตไวต่อปัจจัยระดับมหภาคและการยอมรับของผู้ใช้จริง
CoinCodex คาดการณ์ราคา MATIC ตลอดปี 2025 จะอยู่ราว $0.136-$0.195 ให้ความเห็นเชิงเทคนิคว่าตลาดมีความรู้สึกเชิงลบ (bearish sentiment) ต่อการขยายตัวที่ยังช้าเกินความคาดหวังของตลาด สอดคล้องกับการวิเคราะห์กราฟจาก altFINS ที่พบว่า POL อยู่ในแนวโน้มขาลง (downtrend)
การเก็บรักษาเหรียญ Polygon

สำหรับผู้ถือเหรียญ Polygon สิ่งสำคัญคือการเก็บรักษาเหรียญให้ปลอดภัย เพราะคริปโตนั้นต้องจัดเก็บอยู่ในกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ Crypto Wallet ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทหลัก คือ Hot Wallet และ Cold Wallet
ตารางเปรียบเทียบ: Hot Wallet vs Cold Wallet
|
หัวข้อ |
Hot Wallet |
Cold Wallet |
|
การเชื่อมต่อ |
ออนไลน์ตลอดเวลา เชื่อมอินเทอร์เน็ต |
ออฟไลน์ ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต |
|
ความปลอดภัย |
ปลอดภัยระดับปานกลาง เสี่ยงถูกแฮกได้หากเครื่องติดไวรัส |
ปลอดภัยสูงสุด เพราะไม่มีการเชื่อมต่อออนไลน์ |
|
ความสะดวกในการใช้งาน |
ใช้งานง่าย โอนเหรียญหรือเชื่อมกับ dApp ได้ทันที |
ต้องเสียบอุปกรณ์หรือใช้แอปเฉพาะ เหมาะกับผู้ถือเหรียญระยะยาว |
|
เหมาะสำหรับใคร |
ผู้ใช้งานทั่วไป นักลงทุนที่เทรดหรือโอนเหรียญบ่อย |
นักลงทุนระยะยาวที่ถือเหรียญจำนวนมาก |
|
ตัวอย่างที่นิยมใช้ |
MetaMask, Trust Wallet, Coinbase Wallet |
Ledger Nano X, Trezor, SafePal S1 |
วิธีเก็บเหรียญ Polygon อย่างปลอดภัย
-
อย่าเก็บเหรียญไว้ในกระดานเทรด (Exchange) นานเกินไป:
กระเป๋าเงินในกระดานเทรดเหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้น เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกแฮก นักลงทุนอาจสูญเสียเหรียญทั้งหมดได้ -
ใช้ Hot Wallet สำหรับการใช้งานประจำวัน: เช่น โอนเหรียญ ใช้งาน DeFi หรือ NFT
-
ใช้ Cold Wallet สำหรับการถือระยะยาว (HODL): เพราะปลอดภัยกว่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ถือเหรียญจำนวนมาก
-
สำรอง Seed Phrase ไว้อย่างปลอดภัย: อย่าเก็บในโทรศัพท์หรือถ่ายรูปไว้ในคลาวด์ ควรเขียนลงกระดาษหรือเก็บในอุปกรณ์ออฟไลน์เท่านั้น
-
อัปเดตซอฟต์แวร์กระเป๋าให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ: เพื่อป้องกันช่องโหว่จากการแฮก
Wallet ที่รองรับ Polygon
Polygon รองรับทั้งบนเครือข่าย Ethereum (ERC-20) และ Polygon Mainnet ดังนั้นก่อนโอนเหรียญ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า Wallet นั้นรองรับเครือข่ายใดบ้าง
Wallet ยอดนิยมที่รองรับ Polygon ได้แก่:
-
MetaMask: กระเป๋ายอดนิยมสำหรับ DeFi และ dApp เชื่อมต่อกับ Polygon ได้ง่าย
-
Trust Wallet: ใช้งานง่ายบนมือถือ รองรับทั้ง MATIC (ERC-20) และ Polygon Network
-
Ledger / Trezor: กระเป๋าแบบฮาร์ดแวร์ (Cold Wallet) สำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยระดับสูง
-
Coinbase Wallet: รองรับ Polygon Chain และสามารถเชื่อมต่อกับ DApp ได้โดยตรง
-
SafePal: ผสมระหว่าง Hot และ Cold Wallet มีฟีเจอร์เชื่อมต่อมือถือ
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Polygon
Q1. Polygon ต่างจาก Ethereum ยังไง
Polygon เป็นเครือข่ายเสริมของ Ethereum ที่ช่วยให้ทำธุรกรรมได้เร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมถูกลง โดยยังคงเชื่อมโยงกับระบบความปลอดภัยของ Ethereum อยู่ ส่วน Ethereum เป็นเครือข่ายหลักที่ใช้ในการสร้างและรัน Smart contract
Q2. Polygon Chain ทำงานยังไง
Polygon ใช้เทคโนโลยี Layer 2 Scaling Solution ที่ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากนอกเครือข่ายหลักของ Ethereum ก่อนจะส่งข้อมูลสรุปกลับไปยัง Ethereum
Q3. Polygon MATIC คือเหรียญเดียวกันไหม
MATIC คือชื่อเหรียญดั้งเดิมของเครือข่าย Polygon ใช้สำหรับจ่ายค่าธรรมเนียม (Gas Fee) การ Stake และการโหวตในระบบ (Governance) ปัจจุบัน Polygon กำลังอัปเกรดสู่เหรียญใหม่ชื่อ POL ภายใต้ Polygon 2.0
Q4. Polygon มีอนาคตไหม
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่า Polygon มีอนาคตที่ดี เพราะเป็นหนึ่งในโครงสร้างสำคัญของระบบ Web3, GameFi และ DeFi และยังได้รับความร่วมมือจากบริษัทใหญ่ๆ เช่น Starbucks, Reddit และ Nike อย่างไรก็ตาม ราคายังขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ Polygon 2.0 และการยอมรับของตลาดคริปโตโดยรวม
Q5. Polygon ใช้ทำอะไรได้บ้าง
Polygon ถูกใช้สร้างและเชื่อมต่อแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApp) เช่น DeFi, NFT Marketplace, เกมบล็อกเชน และ Web3 Application เช่น Aave และ QuickSwap
สรุป Polygon คืออะไร
Polygon คือโปรเจคที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย Ethereum โดยทำหน้าที่เป็น Layer 2 Scaling Solution ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลธุรกรรม ลดค่าธรรมเนียม และขยายขีดความสามารถของเครือข่ายให้รองรับการใช้งานได้กว้างขึ้น
Polygon ไม่ได้เป็นเพียงโครงข่ายเสริมของ Ethereum เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาระบบนิเวศบล็อกเชน ให้ครอบคลุมทั้ง DeFi, GameFi และ NFT รวมถึงการใช้งานจริงในภาคธุรกิจระดับโลก
นอกจากนี้ Polygon ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เช่น การอัปเกรดสู่ Polygon 2.0 รวมถึงมีชุมชนนักพัฒนาที่เติบโตอย่างมั่นคง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Polygon เป็นหนึ่งใน Layer 2 ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนระบบนิเวศของ Ethereum และโลก Web3 สู่การใช้งานจริงในอนาคต
⚠️ คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล มีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
KuCoin Thailand
(ดำเนินงานโดยบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด)
Email: happy@kucoin.th | Call Center: 02-080-6060
- Facebook: facebook.com/KuCoinThailand
- Instagram: Kucointhailand
- LINE Official Account: @KuCoinThailand
- X (formerly Twitter): x.com/KuCoinThailand
- Tiktok: @KuCoinThailand
- Telegram: @KuCoinTH_Official
- Facebook Group: Kucoin Thailand Official Community
📲 ดาวน์โหลดแอป KuCoin Thailand ได้แล้วตอนนี้!
👉 คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลด พร้อมให้บริการทั้งบน App Store และ Play Store ประเทศไทย


