img

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยปี 2568: สัญญาณฟื้นตัวและโอกาสใหม่

2025/11/20 02:48:02

Custom
หลังจากเผชิญความผันผวนจากตลาดโลกในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2568 ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวคือมาตรการภาครัฐ โดยกระทรวงการคลังประกาศ ยกเว้นภาษีกำไรจากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Capital Gains Tax) สำหรับผู้ลงทุนที่จดทะเบียนในประเทศ เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31ธันวาคม 2572 เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผลักดันไทยสู่การเป็น “Digital Asset Hub” ของภูมิภาค

นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ยังปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อรองรับการออกโทเคนดิจิทัลและการระดมทุนรูปแบบใหม่ เช่น Investment Token และ Utility Token พร้อมเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้ลงทุนและการทดสอบความเหมาะสม (Suitability Test) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย

แนวโน้มปี 2569: จุดเปลี่ยนสำคัญ

ปี 2569 จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อทิศทาง ทั้งเทคโนโลยี กฎเกณฑ์ และพฤติกรรมของนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

Bitcoin และ Ethereum: สัญญาณบวกจากตลาดโลก

Bitcoin และ Ethereum ยังคงเป็นผู้นำตลาด โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการลงทุนในกองทุน Spot ETF ทั่วโลก ข้อมูลจาก ก.ล.ต. ระบุว่าในเดือนสิงหาคม Bitcoin มีราคาเฉลี่ย 3.499 ล้านบาทต่อ BTC ลดลงราว 7.72% จากเดือนกรกฎาคม แต่หลายสำนักคาดว่าราคาจะพุ่งแตะ 3.9–4.77 ล้านบาทในปี 2569 ส่วน Ethereum ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับ Smart Contract และ DApps มีราคาเฉลี่ย 142,000 บาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากเดือนก่อนหน้า และคาดว่าจะสูงสุดถึง 285,000 บาทในปีหน้า

ที่น่าจับตาคือ XRP ซึ่งสร้างความประหลาดใจด้วยการเติบโตสูงถึง 390% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีราคาเฉลี่ย 89.75 บาทในเดือนสิงหาคม 2568

(อ้างอิง Thai Weekly Report)

ความท้าทายจากปัจจัยภายนอก

แม้ตลาดจะฟื้นตัว แต่ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ส่งผลต่อสภาพคล่องโลก รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ นักลงทุนจึงต้องติดตามดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์อย่างใกล้ชิด

นโยบายไทย: เปิดรับอย่างระมัดระวัง

ในช่วงปี 2567–2568 ก.ล.ต. มีแนวโน้มเปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น เช่น การอนุมัติ Bitcoin ETF เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและโปร่งใส แต่การกำกับดูแลยังเน้นความระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันฟอกเงินและคุ้มครองผู้ลงทุน กฎหมายใหม่ที่ประกาศใช้เน้นหลัก “Same Activity, Same Risk, Same Regulatory Outcome” ครอบคลุมทั้ง CeFi และ DeFi พร้อมเปิดทางให้มีการออกโทเคนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน แต่ก็เพิ่มภาระการปฏิบัติตามกฎสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก

แนวโน้มการลงทุน: จากเก็งกำไรสู่ระยะยาว

นักลงทุนไทยเริ่มเปลี่ยนจากการเก็งกำไรระยะสั้นไปสู่การลงทุนระยะยาว โดยใช้ข้อมูลเชิงลึก เช่น ดัชนี MVRV, HODL Wave และ Realized Price เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริง การเข้ามาของแพลตฟอร์ม Wealth-Tech และบริการที่ปรึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก็ช่วยให้การวางแผนการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้น ในปี 2569 หรือ 2026 การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าประมาณ 937 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้ใช้งานมากกว่า 8.4 ล้านคน หน่วยงานกำกับดูแลของไทยมีแนวโน้มที่จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมพยายามหาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัยของตลาด ในระดับโลก เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน (Tokenization), NFT และ DeFi กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะในแง่ของการนำไปใช้จริง แม้ว่านักลงทุนรายย่อยยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาด แต่ความสนใจจากนักลงทุนสถาบันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มระดับโลกและปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เช่น นโยบายการเงินของสหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลต่อภูมิทัศน์ของสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย


⚠️  คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล มีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้


KuCoin Thailand  

(ดำเนินงานโดยบริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด)
Email: happy@kucoin.th | Call Center: 02-080-6060 

📲 ดาวน์โหลดแอป KuCoin Thailand ได้แล้วตอนนี้!
👉  คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลด  พร้อมให้บริการทั้งบน App Store และ Play Store ประเทศไทย